วันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

โอกาสมีอีกหนึ่งธุรกิจที่เติบโตด้วยความรู้


โอกาสมีอีกหนึ่งธุรกิจที่เติบโตด้วยความรู้ ลงทุนน้อยนิด
     ผู้ทำธุรกิจส่วนมากมีความฝันที่ต้องการให้ธุรกิจมีความใหญ่โตในอนาคต โดยพยายามลงทุนเยอะในช่วงแรก เพื่อเลือกสิ่งที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็น ทำเลที่ดี อุปกรณ์ตกแต่งออฟฟิศ พนักงานฝีมือดีรวมไปถึงวางแผนในการขยายธุรกิจ โดยการวางรากฐานที่ดีให้ธุรกิจมีการเติบโตในอนาคต แต่การใช้เงินทุนจำนวนมากในช่วงต้นยังมีความเสี่ยงสูงผู้ประกอบการเองจึงควรคิดอย่างรอบคอบ

อันที่จริงเราไม่สามารถกำหนดทิศทางว่าธุรกิจจะไปในรูปแบบใด จะล้มเหลวหรือประสบความสำเร็จ ถึงแม้จะมั่นใจในศักยภาพขององค์กรมากก็ตาม เราก็ไม่สามารถกำหนดปัจจัยภายนอกอย่างเศรษฐกิจภายนอกหรือความต้องการของผู้บริโภคได้ จึงควรหันมาเริ่มต้นธุรกิจด้วยจำนวนเงินน้อยๆจากเงินเก็บที่มีอยู่ ซึ่งถือเป็นการลงทุนที่ไม่ต้องแบกรับหนี้สิน ใครหลายคนอาจคิดว่าแค่เงินเก็บไม่สามารถทำให้ธุรกิจเติบโตได้มาก แต่เราสามารถใช้เงินเก็บเริ่มต้นธุรกิจได้จริงๆ โดยการลงทุนที่น้อยที่สุด แต่มีประสิทธิภาพที่สุด ไม่ต้องการสำนักงานใหม่ ไม่มีพนักงาน มีแต่เพื่อนที่สนใจมาร่วมลงทุนกับเรา ซึ่งในช่วงแรกอาจจะต้องเหนื่อยสักหน่อย วิธีนี้ช่วยให้เริ่มธุรกิจได้ดีมาก และเมื่อในอนาคตธุรกิจเกิดไปได้ดี ค่อยขยายกิจการตามขึ้นมาในภายหลังคุณจะทึ่งในศักยภาพของแผนธุรกิจ ลดการทำงานและช่วยให้กิจการเจริญเติบโตได้อย่างไม่น่าเชื่อ

การเข้าสังคม เป็นการเปิดโอกาสให้กับตัวเอง วิธีนี้เป็นวิธีที่ไม่ต้องลงทุน เพียงแต่ต้องขวนขวายดูว่าในแต่ละโอกาสมีการจัดงานที่ไหนบ้างที่น่าสนใจ และเหมาะกับเรา ซึ่งจุดประสงค์ของการไปงานประเภทนี้ก็เพื่อที่นำทางเราไปสู่คนที่อยู่ในวงการเดียวกันที่อาจจะมีประสบการณ์มากกว่า และพร้อมให้คำแนะนำกับเราได้ การทำความรู้จักกับคนกลุ่มนี้ไว้จะช่วยให้เราได้รับรู้ข่าวสารในธุรกิจที่เราสนใจ และได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ นอกจากนี้อาจทำให้มีผู้สนใจในธุรกิจของเรามาร่วมลงทุนกับเราก็เป็นได้

วิธีเบื้องต้นในการเริ่มต้นทำธุรกิจที่อาศัยเงินจำนวนน้อยนิดและไม่มีความเสี่ยงใดๆ ทำไม่ได้ ไม่เหมาะกับเราสามารถถอนเงินคืนได้ เหมาะกับนักธุรกิจมือใหม่ที่ยังไม่พร้อมที่จะเสี่ยงกับเงินลงทุน เป็นทางเลือกในการเก็บประสบการณ์เพิ่มเติมมีพี่เลี้ยงคอยดูแลและช่วยเหลือคุณตลอดเวลาของการลงมือทำธุรกิจอย่างจังๆ จังๆ  เมื่อประสบความสำเร็จแล้วคุณจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจากหุ้นส่วนธุรกิจของเรา

ผลิตภัณฑ์เปิดใจ

ผลิตภัณฑ์เปิดใจ

ความประทับใจ เป็นความรู้สึกดีที่เกิดขึ้นหลังการซื้อสินค้าหรือบริการและอยากกลับมาใช้ซ้ำ ซึ่งสิงที่จะสร้างความประทับใจให้แก่ลูกค้ามีหลายปัจจัย ซึ่ง "พนักงาน" คือองค์ประกอบที่สำคัญในการสร้างความประทับใจให้แก่ลูกค้า หลักการง่ายๆ 5 ประการที่สามารถสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าโดยพนักงานมีดังนี้
   1. ให้ความใส่ใจรายบุคคล ลูกค้าแต่ละคนมีความต้องการที่แตกต่างกัน พนักงานขายควรให้ข้อมูลที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าแต่ละคน มีความเต็มใจในการให้บริการ กระตือรือร้น ตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว รวมจึงการจำรายละเอียดของลูกค้าด้วย เช่น ชื่อของลูกค้า รายการที่ลูกค้าซื้อประจำ
   2.  จำข้อมูลได้แม่นยำ เมื่อลูกค้าสอบถามรายละเอียด พนักงานขายสามารถให้ข้อมูลได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว ยกตัวอย่างเช่น ลูกค้าจะถามถึงรายละเอียดโปรโมชันมือถือ พนักงานสามารถบอกรายละเอียดได้ทันทีแทนที่จะหยิบโปรโมชั่นให้ลูกค้าดู จะแสดงถึงความเป็นมืออาชีพในการบริการและภาพลักษณ์ที่ดีต่อธุรกิจด้วย
   3.  ต้อนรับและขอบคุณทุกครั้ง แม้จะดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่การต้อนรับในที่นี้จะเป็นการแสดงออกทางสีหน้าและคำพูด โดยการยิ้มและกล่าวสวัสดีหรือยินดีต้อนรับ หากจำรายรายละเอียดของลูกค้าได้ก็สามารถทักทายเป็นบทสนทนาเพื่อสร้างความเป็นกันเองได้ และเมื่อลูกค้าจากไปโดยอาจจะซื้อหรือไม่ก็ควรจะขอบคุณทุกครั้ง แม้ลูกค้าไม่ซื้อวันนี้แต่ยังมีโอกาสซื้อในอนาคต
   4.  การแต่งกายและบุคลิกของพนักงาน การแต่งกายให้เรียบร้อยสะอาดเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความประทับใจ และนอกเหนือจากการแต่งกายในที่มีองค์ประกอบอื่นด้วย เช่น ทรงผม การแต่งหน้า กลิ่นกาย กลิ่นปาก ท่าทาง บุคลิกภาพ สิ่งต่างๆเหล่านี้แม้อาจไม่สามารถสัมผัสได้แต่สามารถรู้สึกได้
   5.  ให้เกียรติกับลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าทุกเพศทุกวัย ทุกอาชีพ ไม่ว่าการแต่งกายอย่างไร รวมถึงให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวของลูกค้าด้วย เช่น ลูกค้าบางคนอาจจะไม่ชอบที่พนักงานคอยแนะนำสินค้ามากไป หากเขาต้องการรายละเอียดเขาจะสอบถามข้อมูลเอง ความสบา่ยใจในการจับจ่ายใช้สอยจะมีมากขึ้นหากปล่อยให้ลูกค้าเลือกเอง
   ทุกธุรกิจสามารถนำหลักการเหล่านี้อบรมได้ ไม่ว่าจะเป็นกิจการขนาดไหนก็ตาม หากนำไปปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอและมีการปรับปรุงอย่างต่อเนือง จะส่งผลให้ลูกค้าเกิดความภักดีต่อสินค้าหรือบริการของธุรกิจ

1. ปล่อยให้ลูกค้าได้ระบายออกมาจนหมด
เวลาลูกค้าโมโหหรือไม่พอใจเรื่องอะไร ไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใดก็ตาม อย่าเถียงหรือพูดแทรกเด็ดขาด เพราะมันจะทำให้พายุอารมณ์ของลูกค้ายิ่งพัดกระหน่ำแบบหยุดไม่อยู่ ทางที่ดคือปล่อยให้ลูกค้าได้ระบายอารมณ์โกรธจนหมดก่อนแล้วค่อย ๆ พูดคุยสอบถามข้อข้องใจกันอย่างนุ่มนวลจะดีกว่า

2. ตัดอคติหรืออารมณ์ร่วมทิ้งไปให้หมด
หลายครั้งที่ลูกค้าโวยวายใส่แล้วเราพลอยมีอารมณ์โมโหหรือหงุดหงิดร่วมไปด้วยจนบางทียังแอบนึกบ่นอยู่ในใจว่า “ทำไมถึงงี่เง่าอย่างนี้นะ” หรือ “ทำไมถึงไม่ยอมฟังกันบ้างเลย” ถ้ารู้ว่าตัวเองกำลังคิดอะไรทำนองนี้อยู่ล่ะก็ ขอให้รีสลัดความคิดนี้ทิ้งแบบด่วนๆเลยนะคะ เพราะอคติที่เรามีมันอาจจะถูกแสดงออกมาทางคำพูดหรือน้ำเสียงของเราโดยไม่รู้ตัวก็ได้

3. แสดงความจริงใจ
ประโยคที่แสดงออกถึงความเสียใจ ความเข้าใจ หรือการขอโทษอย่างจริงใจนั้นจะทำให้ความรู้สึกของลูกค้าที่มีต่อเราดีขึ้น เมื่อลูกค้าอารมณ์เย็นลงจะช่วยให้การแก้ไขปัญหาในขั้นตอนต่อไปทำได้อย่างราบรื่นยิ่งขึ้น

4. กระตือรือร้นที่จะแก้ไขปัญหา
หลังจากปล่อยให้ลูกค้าได้ระบายอารมณ์เสร็จแล้วก็อย่ามัวแต่ตกใจจนตอบคำถามผิด ๆ ถูก ๆ แต่เราต้องมีสติและกระตือรือร้นที่จะแก้ปัญหาให้ลูกค้า อาจจะเริ่มจากการถามถึงปัญหาอย่างตั้งใจ พูดทวนปัญหาให้ลูกค้าฟังอีกครั้ง เพราะการที่ลูกค้าโมโหอาจจะลืมพูดข้อมูลบางอย่าง ทำให้ข้อมูลคลาดเคลื่อนหรือตกหล่นได้

5. ตกลงกันถึงวิธีในการแก้ปัญหา
เมื่อเรารับฟังปัญหาของลูกค้าแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือการหาทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน อย่าลืมว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในการตกลงที่จะแก้ไขปัญหาร่วมกันก็คือ ต้องตกลงกันอย่างตรงไปตรงมา อย่ารับปาโอเว่อร์แบบพอให้พ้นตัวไปเด็ดขาด เพราะเมื่อถึงเวลาแล้วทำไม่ได้อย่างปากว่า แล้วจะยิ่งเกิดปัญหาตามมา แถมปัญหาจะใหญ่กว่าเดิมด้วย

6. ติดตามผลในการแก้ปัญหา
เมื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาให้ลูกค้าแล้วก็อย่าลืมติดตามผลต่อไปด้วยว่าวิธีการแก้ไขปัญหาของเรานั้นได้ผลหรือไม่ ถ้าไม่ได้ผลก็จะได้หาวิธีการใหม่ ๆ แก้ไขปัญหาต่อไป การติดตามผลในการแก้ปัญหานอกจากจะทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าเราใส่ใจต่อเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างจริงใจแล้ว การติดตามผลยังเป็นแนวทางให้เราปรับปรุงและป้องกันไม่ให้เกิดปัญหานั้นซ้ำอีกด้วย
จงจำไว้ว่าคนโดยทั่วไป ไม่ชอบถูกขาย แต่ชอบที่จะซื้อเอง
      คุณเคยรำคาญเวลาเลือกซื้อเสื้อผ้า หรือเดินดูสินค้าก็ตาม พนักงานมาสอบถามว่าต้องการแบบไหน และแนะนำเฝ้าดูเราตลอดเวลา แน่นอนคุณคงไม่ชอบ คุณต้องการความเป็นส่วนตัวในการตัดสินใจซื้อมากกว่า  เช่นเดียวกัน ลูกค้าของคุณก็เช่นกันต้องการที่จะเป็นผู้ซื้อเอง มากกว่าจะถูกขาย และถูกเฝ้ามองและติดตามตลอดเวลา  หลังจากสร้างสายสัมพันธ์แล้ว การที่คุณจะเสนอสินค้านั้น แนะนำว่าให้คุณเตรียมโบรวชัวร์สินค้าไป เมื่อสร้างสายสัมพันธ์เรียบร้อยแล้ว ให้เขาได้สัมผัสสินค้าเปิดใจที่เราเตรียมไปพร้อมบอกสรรพคุณแบบย่อ ดีกว่าสินค้าท้องตลาดอย่างไร ประหยัดกว่าอย่างไร สินค้ามีการรับประกันความพอใจ คืนเงินได้ หลังจากสัมผัสแล้วยื่นโบรวชัวร์สินค้าของคุณให้เขา โดยไม่ต้องพูดอะไรมาก
......เสร็จแล้วคุณก็ขอตัวลากลับ  ไม่ต้องห่วงเพราะคุณได้สร้างความสัมพันธ์แล้ว  หากเขามีปัญหา และสินค้าของคุณสามารถแก้ไขปัญหาให้เขาได้เขาจะติดต่อหาคุณเองแน่นอน..... กลับกันหากคุณเริ่มสร้างสายสัมพันธ์ด้วยการยื่นโบรวชัวร์ การตลาดสินค้าของคุณให้ก่อน โบรวชัวร์ของคุณจะถูกทิ้งลงถัง ทันที

ผลิตภัณฑ์หลัก

ผลิตภัณฑ์หลัก
เป็นสิ่งสำคัญที่ธุรกิจจำเป็นต้องมี เพื่อให้ลูกค้าสามารถจดจำสินค้าได้โดยง่าย สังเกตุกันไหมว่า? ร้านค้าร้านไหนมีชื่อร้านที่ชัดเจน น่าสนใจ เราสามารถบอกต่อกับคนอื่นๆได้ง่ายเพราะเราจดจำชื่อของร้านนั้นไปแล้ว อย่างไรก็ตามตราสินค้าหรือแบรด์ไม่ได้มีแค่ชื่อร้านหรือสิ่งที่แสดงออกเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น ยังมีองค์ประกอบอื่นที่ส่งผลต่อภาพลักษณ์ธุรกิจด้วย เช่น การบริการที่ดี ความน่าเชื่อถือ คุณภาพของสินค้าหรือบริการนั้นๆ ฯลฯซึ่งประโยชน์หลายประการของตราสินค้าจะมีดังนี้

   1. ช่วยเร่งการตัดสินใจ จะเป็นประโยชน์เมื่อลูกค้าจดจำตราสินค้าได้แล้วและเชื่อมั่นในคุณภาพ เมื่อลูกค้าต้องการซื้อหรือใช้บริการจะมีความลังเลน้อยลงและตัดสินใจซื้อเร็วขึ้น ทำให้ประหยัดเวลาในการแนะนำสินค้าหรือบริการเพราะผู้บริโภคมีข้อมูลอยู่แล้ว

   2. สามารถแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ได้ง่ายขึ้น เนื่องจากลูกค้ารับรู้ถึงคุณภาพของตราสินค้าแล้ว เมื่อมีผลิตภัณฑ์ใหม่ของธุรกิจ ผู้บริโภคจะกล้าที่จะทดลองสิ่งใหม่ๆ

   3. สามารถบอกต่อได้ง่าย เมื่อธุรกิจมีแบรนด์ที่ชัดเจนและเป็นที่จดจำ การบอกต่อจึงเป็นเรื่องง่าย ซึ่งในปัจจุบันมีสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) หลายอย่างที่เป็นที่นิยมและสะดวกในการสื่อสาร ดังนั้นการตั้งชื่อ รูปลักษณ์ โลโก้ จะช่วยอำนวยประโยชน์ในการบอกต่อ

  4. ยอดขายเพิ่มขึ้น เป็นผลที่เกิดจากตัดสินใจที่เร็วขึ้น และการรับรู้จากสื่อต่างๆที่ทำให้ธุรกิจเป็นที่รู้จัก เมื่อมีคนรู้จักมากก็จะมีคนซื้อหรือใช้บริการมากขึ้นไปด้วยเช่นกัน

  5. แสดงความเป็นเจ้าของ สินค้าหรือบริการใหม่ๆที่เกิดขึ้น ตราสินค้าจะแสดงความเป็นเจ้าของในสินค้าหรือบริการซึ่งจะช่วยให้ผู้บริโภคเกิดความเชื่อถือมากขึ้นเมื่อมีตราสินค้าที่ชัดเจน เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปซึ่งมีหลายยี่ห้อมาก แต่ส่วนใหญ่เรียกว่ามาม่าเพราะเป็นชื่อที่จดจำได้ง่ายและเป็นนวัตกรรมใหม่ในยุคก่อน ทำให้ผู้บริโภคเรียกติดปากมาจนถึงปัจจุบัน

  แม้แบรนด์สินค้าจะมีประโยชน์หลายประการแต่ก็เป็นเหมือนดาบสองคม หากมีการบริหารจัดการตราสินค้าไม่ดี ผู้บริโภคก็จะสามารถจดจำตราสินค้าของเราในทางลบ ดังนั้นประโยชน์ต่างๆข้างต้นจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากมีการจัดการตราสินค้าที่ไร้ประสิทธิภาพ หากตราสินค้าเป็นที่จดจำก็จะสามารถสร้างความภักดีต่อผลิตภัณฑ์ในระยะยาวได้

แผนธุรกิจ

เข้าใจแผนธุรกิจ
แผนธุรกิจ (Business Plan) เป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญยิ่งสำหรับผู้ประกอบการที่ริเริ่มจะก่อตั้งกิจการ แผนนี้เป็นผลสรุปหรือผลรวมแห่งกระบวนการคิดพิจารณา และการตัดสินใจที่จะเปลี่ยนความคิดของผู้ประกอบการออกมาเป็นโอกาสทางธุรกิจ มีผู้เปรียบเทียบว่าแผนธุรกิจเปรียบเหมือนแผนที่ในการเดินทาง ที่จะชี้แนะขั้นตอนต่างๆ ทีละขั้นตอนในกระบวนการก่อตั้งกิจการ แผนจะให้รายละเอียดต่างๆ ทั้งเรื่องของการตลาด การแข่งขันกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ การคาดคะเนทางการเงิน ที่จะชี้นำผู้ประกอบการไปสู่ความสำเร็จหรือชี้ให้เห็นถึงจุดอ่อนและข้อควรระวังด้วยเช่นกัน


ถ้าเปรียบว่าแผนที่ที่ดีย่อมจะให้รายละเอียดถนนหนทาง และทิศทางที่ชัดเจนแล้ว แผนธุรกิจก็ไม่ต่างกันในการที่จะให้รายละเอียดอย่างเพียงพอที่จะทำให้ผู้ร่วมลงทุนตัดสินใจได้ว่า ธุรกิจนั้นควรจะร่วมลงทุนด้วยหรือไม่ จากแผนธุรกิจจะทำให้ผู้ร่วมลงทุนเข้าใจวัตถุประสงค์ของธุรกิจอย่างชัดเจน เข้าใจแนวคิดและปรัชญาของธุรกิจ แผนปฏิบัติการ ปัญหาอุปสรรค และหนทางที่เตรียมการเพื่อไปสู่ความสำเร็จ ถึงแม้ว่าผู้ประกอบการจะใช้เงินลงทุนของตัวเอง ไม่ต้องการผู้ร่วมลงทุนหรือเงินกู้จากสถาบันการเงิน แผนธุรกิจก็ยังจำเป็นอยู่ดีเพื่อให้ผู้ประกอบการมีแผนที่ในการบอกทิศทางของการดำเนินกิจการในอนาคต

สำหรับผู้ประกอบการแล้ว แผนธุรกิจเป็นเอกสารที่มีความสำคัญยิ่งกว่าเอกสารใดๆ ที่เคยมีการรวบรวมมา ความสำคัญเหล่านี้ ได้แก่

1. แผนธุรกิจสำคัญในฐานะที่จะให้รายละเอียดของการเริ่มต้นธุรกิจ แผนธุรกิจทำให้ผู้ประกอบการมีเป้าหมายที่ชัดเจน กำหนดแนวทางของความคิด และช่วยให้ผู้ประกอบการแน่วแน่ต่อการใช้ทรัพยากรและกำลังความพยายามเพื่อไปสู่เป้าหมาย

2. แผนธุรกิจสำคัญในฐานะเป็นเครื่องมือที่จะแสวงหาเงินทุนจากผู้ร่วมลงทุน จากกองทุนร่วมลงทุน และจากสถาบันการเงินต่างๆ 

3. แผนธุรกิจสำคัญในฐานะที่เป็นเสมือนพิมพ์เขียวที่ให้รายละเอียดของกิจกรรมต่างๆ ทั้งกิจกรรมในการจัดหาเงินทุน กิจกรรมในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ กิจกรรมการตลาด และอื่นๆ ในการบริหารกิจการใหม่ แผนธุรกิจยังใช้เพื่อกำหนดการปฏิบัติงานที่ต่อเนื่องในอนาคตของกิจการอีกด้วย

แผนธุรกิจควรมีอะไรบ้าง
เนื่องจากแผนธุรกิจที่ดีย่อมช่วยในการวัดถึงความเป็นไปได้ของกิจการที่จะลงทุน แผนจึงควรประกอบด้วยการวิเคราะห์อย่างละเอียดในตัวแปรหรือปัจจัยดังต่อไปนี้

1. สินค้าหรือบริการที่จะขาย

2. กลุ่มลูกค้าที่คาดหวัง

3. จุดแข็งและจุดอ่อนของกิจการที่จะทำ

4. นโยบายการตลาด เช่น นโยบายด้านราคา การส่งเสริมการตลาด การกระจายสินค้า

5. วิธีการหรือกระบวนการในการผลิต รวมถึงเครื่องจักร อุปกรณ์ที่ต้องใช้

6. ตัวเลขทางการเงิน นับตั้งแต่รายได้ที่คาดว่าจะได้ ค่าใช้จ่าย กำไร ขาดทุน จำนวนเงินลงทุนที่ต้องการ และกระแสเงินสดที่คาดว่าจะได้มาหรือใช้ไป

แผนธุรกิจที่ดีอ่านแล้วต้องเข้าใจอะไรบ้าง
1. การก่อตั้งธุรกิจเป็นรูปร่างชัดเจนขนาดไหน เสร็จสมบูรณ์แล้วหรือยัง

2. ธุรกิจนี้น่าลงทุนไหม

3. ธุรกิจมีแนวโน้มหรือโอกาสที่จะประสบความสำเร็จตั้งแต่เมื่อแรกตั้งมากน้อยขนาดไหน

4. ธุรกิจนี้มีความได้เปรียบหรือความสามารถในการแข่งขันในระยะยาวมากน้อยเพียงใด

5. สินค้าที่จะผลิตมีวิธีการผลิตที่มีประสิทธิภาพเพียงใด

6. สินค้าที่ผลิตสามารถวางตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงใด

7. วิธีการผลิตและการวางตลาดสินค้านั้น มีทางเลือกอื่นๆ ที่ประหยัดได้มากกว่าหรือไม่

8. หน้าที่ต่างๆ เช่น การผลิต การจำหน่าย การจัดการทางการเงิน การจัดการคน มีการจัดการที่ดีและเหมาะสมเพียงใด

9. จำนวนและคุณภาพของพนักงานที่ต้องการมีเพียงพอหรือไม่

โดยสรุปแล้วแผนธุรกิจที่มีการรวบรวมและเขียนขึ้นอย่างดีนั้น ไม่เพียงแต่ให้ข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงเท่านั้น ตัวแผนต้องสามารถเป็นเครื่องมือสื่อสารที่ดี ที่จะส่งผ่านความคิด ผลการวิจัยและแผนที่จะนำเสนอให้กับผู้อ่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าของเงิน  ต้องเป็นพื้นฐานสำคัญของการบริหารและดำเนินกิจการที่จะจัดตั้งขึ้น นอกจากนี้ ยังต้องเป็นเครื่องมือในการวัดผลความก้าวหน้าของกิจการ รวมถึงการประเมินถึงความเปลี่ยนแปลงที่จำเป็น ดังนั้น นับได้ว่าการวางแผนธุรกิจเป็นเรื่องที่ต้องพิถีพิถัน ใช้เวลาใช้ความพยายาม เสียค่าใช้จ่าย แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับมา คือ ความแตกต่างระหว่างความสำเร็จและความล้มเหลวของกิจการทีเดียว

องค์ประกอบของแผนธุรกิจ
แม้ว่าองค์ประกอบของแผนธุรกิจจะไม่ได้มีกำหนดไว้ตายตัว หากแต่องค์ประกอบหลัก ซึ่งนักลงทุนพิจารณาว่าเป็นสิ่งสำคัญและต้องการรู้ จะประกอบด้วยสิ่งเหล่านี้ คือ

1. บทสรุปสำหรับผู้บริหาร 

2. ประวัติโดยย่อของกิจการ

3. การวิเคราะห์สถานการณ์ 

4. วัตถุประสงค์และเป้าหมายทางธุรกิจ

5. แผนการตลาด 

6. แผนการจัดการและแผนกำลังคน

7. แผนการผลิต/ปฏิบัติการ 

8. แผนการเงิน

9. แผนการดำเนินงาน 

10. แผนฉุกเฉิน

องค์ประกอบของผู้บริหาร
เป็นส่วนที่จะสรุปใจความสำคัญๆ ของแผนธุรกิจทั้งหมดให้อยู่ในความยาวไม่เกิน 1-2 หน้า ส่วนนี้มีความสำคัญ เพราะเป็นส่วนแรกที่ผู้ร่วมลงทุนจะอ่านและจะต้องตัดสินใจจากส่วนนี้ว่า จะอ่านรายละเอียดในตัวแผนต่อหรือไม่ ดังนั้น บทสรุปผู้บริหารจึงต้องชี้ให้เห็นประเด็นสำคัญสองประการ คือ หนึ่ง ชี้ให้เห็นว่ามีโอกาสจริงๆ เกิดขึ้นในตลาดสำหรับธุรกิจที่กำลังคิดจะทำ สอง ต้องชี้ให้เห็นว่า สินค้าหรือบริการที่จะทำนั้น จะสามารถใช้โอกาสในตลาดที่ว่านั้นให้เป็นประโยชน์ได้อย่างไร บทสรุปผู้บริหารจึงต้องเขียนให้เกิดความน่าเชื่อถือ หนักแน่น และชวนให้ติดตามรายละเอียดที่อยู่ในแผนต่อไป ผู้เขียนแผนควรระลึกไว้เสมอว่า คุณภาพของบทสรุปผู้บริหารจะสะท้อนถึงคุณภาพของแผนโดยรวม จึงควรให้เวลากับการเขียนส่วนนี้อย่างพิถีพิถัน

เนื้อหาในบทสรุปผู้บริหารควรจะกล่าวถึงสิ่งต่อไปนี้

1.  อธิบายว่าจะทำธุรกิจอะไร และแนวคิดของธุรกิจนั้นเป็นอย่างไร

พยายามอธิบายให้เห็นว่า สินค้าหรือบริการที่จะทำนั้นจะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตหรือวิถีการใช้สินค้าหรือบริการไปจากเดิมอย่างไร บอกด้วยว่าธุรกิจจะก่อตั้งเมื่อไร สินค้า/บริการมีคุณสมบัติพิเศษอะไรในแง่รูปลักษณ์ ประโยชน์ใช้สอย เทคโนโลยี ฯลฯ ที่จะได้เปรียบเหนือคู่แข่ง หากธุรกิจดำเนินการมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว บอกด้วยว่า ขนาดของธุรกิจใหญ่ขนาดไหน มีความเติบโตก้าวหน้าในช่วงที่ผ่านมาอย่างไร

2. โอกาสและกลยุทธ์ สรุปว่าอะไรคือโอกาส ทำไมจึงน่าในใจ และจะใช้โอกาสนั้นด้วยวิธีอย่างไร

ข้อมูลส่วนนี้อาจนำเสนอในรูปข้อเท็จจริงของตลาด เงื่อนไขตลาด สภาพของคู่แข่ง (เช่น คู่แข่งขันไม่ปรับปรุงสินค้ามานานแล้ว คู่แข่งขันกำลังเพลี่ยงพล้ำ แนวโน้มของอุตสาหกรรมและอื่นๆ ที่แสดงว่าโอกาสทางการค้ากำลังเปิดให้)

3. กลุ่มลูกค้าเป้าหมายและการคะเนลูกค้าเป้าหมาย

ระบุและอธิบายย่อๆ ถึงลักษณะตลาด ใครเป็นกลุ่มลูกค้าหลัก จะจัดวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์อย่างไร จะวางแผนการเข้าถึงลูกค้าอย่างไร รวมถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างของตลาด ขนาดและอัตราการเติบโตของกลุ่มลูกค้า ยอดขาย และส่วนแบ่งตลาดที่คาดหมาย

4. ความได้เปรียบเชิงแข่งขันของธุรกิจ

ระบุถึงความได้เปรียบและความเหนือกว่าในการแข่งขัน เช่น ความได้เปรียบจากตัวผลิตภัณฑ์ การได้เปรียบจากการเข้าตลาดก่อน ความได้เปรียบจากการที่คู่แข่งขันอยู่ในภาวะอ่อนแอ ตลอดจนเงื่อนไขอื่นๆ ของอุตสาหกรรมนั้นๆ

5. ความคุ้มค่าเชิงเศรษฐกิจและความสามารถในการทำกำไร

บทสรุปให้เห็นถึงความคุ้มค่าของการลงทุน เช่น กำไรขั้นต้น กำไรจากการดำเนินงาน ระยะเวลาของการทำกำไร ระยะเวลาการคุ้มทุน ระยะเวลาที่กระแสเงินสดจะเป็นบวก การคาดหมายอัตราผลตอบแทนจาการลงทุน และการคาดคะเนผลตอบแทนทางการเงินอื่นๆ

6. ทีมผู้บริหาร

สรุปความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ และทักษะของผู้ที่เป็นตัวหลักในการก่อตั้งและบริหาร พร้อมสมาชิกในทีม บอกย่อๆ ถึงความสำเร็จในอดีต โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการทำกำไร การบริหารงานและคน

7. ข้อเสนอผลตอบแทน

ระบุสั้นๆ ถึงเงินลงทุนหรือเงินกู้ที่ต้องการ จะเอาเงินไปทำอะไร จะตอบแทนเจ้าของเงินอย่างไร ผลตอบแทนของการลงทุนของเจ้าหน้าที่หรือผู้ร่วมลงทุนจะเป็นเท่าใด

วัตถุประสงค์และเป้าหมายของธุรกิจ
วัตถุประสงค์และเป้าหมายทางธุรกิจ หมายถึง ผลลัพธ์ทางธุรกิจที่กิจการต้องการได้รับในช่วงระยะเวลาของแผน ซึ่งโดยทั่วไปเป้าหมายทางธุรกิจอาจเป็นเป้าหมายโดยรวมของกิจการ และเป้าหมายเฉพาะด้านในแต่ละแผนกหรือลักษณะงาน เช่น เป้าหมายทางการตลาด เป้าหมายทางการจัดการ เป้าหมายทางการผลิต และเป้าหมายทางการเงิน เป็นต้น นอกจากนี้เป้าหมายทางธุรกิจอาจแบ่งเป็นเป้าหมายระยะสั้น คือ ภายใน 1 ปี เป้าหมายระยะกลาง ประมาณ 3-5 ปี และเป้าหมายระยะยาวที่นานกว่า 5 ปี

ลักษณะของเป้าหมายของธุรกิจที่ดีมี 3 ประการ คือ

1. มีความเป็นไปได้ หมายความว่า กิจการมีโอกาสที่จะบรรลุเป้าหมายได้ หากได้มีการดำเนินงานอย่างเต็มที่ตามแผนธุรกิจที่วางไว้ การกำหนดเป้าหมายทางธุรกิจควรประเมินจากสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจทั้งภายนอกและภายในกิจการ กล่าวคือ ไม่ควรตั้งเป้าหมายที่เลื่อนลอยเกินความจริงจนทำไม่ได้ และก่อให้เกิดความท้อแท้ แต่ก็ไม่ควรตั้งเป้าหมายที่ง่ายจนเกินไปจนไม่ต้องทุ่มเทความพยายามใดๆ ก็สามารถที่จะบรรลุเป้าหมายได้โดยง่าย เป้าหมายที่ดีจึงควรเป็นผลลัพธ์ที่ทำได้ยากแต่มีความเป็นไปได้

2. สามารถวัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม หมายถึง มีความชัดเจนที่สามารถประเมินได้ว่า กิจการบรรลุตามเป้าหมายนั้นหรือไม่ ทั้งนี้ โดยทั่วไป ควรจะต้องกำหนดระยะเวลาให้ชัดเจนว่า จะต้องบรรลุถึงเป้าหมายนั้นภายในระยะเวลาเท่าใด

3. เป็นไปในทิศทางเดียวกัน หมายถึง เป้าหมายย่อยๆ ในแต่ละฝ่ายควรมีความสอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน พร้อมทั้งให้แน่ใจว่าเป้าหมายระยะสั้นๆ เป็นไปเพื่อสนับสนุนและส่งเสริมเป้าหมายในระยะปานกลางและระยะยาว


กล่าวคือ ไม่มุ่งหวังเพียงกำไรหรือผลลัพธ์ในระยะสั้นมากจนเกินไป โดยเฉพาะหากผลในระยะสั้นนั้นจะก่อให้เกิดผลเสียได้ในระยะปานกลางและระยะยาว

แผนการตลาด คือ การกำหนดทิศทางและแนวทางในการทุ่มเทความพยายามทางการตลาด ตลอดจนกลไกในการตรวจสอบและประเมินผลกิจกรรมการตลาดไว้ล่วงหน้า โดยใช้ประโยชน์จากความเข้าใจที่ได้รับจากการวิเคราะห์สถานการณ์ในองค์ประกอบที่ 3 มาพิจารณาร่วมกับวัตถุประสงค์และเป้าหมายทางธุรกิจที่กำหนดไว้ในองค์ประกอบที่ 4 

ดังนั้น การวางแผนการตลาดจึงเป็นการกำหนดกลยุทธ์และวิธีในการดำเนินกิจกรรมทางการตลาด เพื่อให้กิจการสามารถบรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่มุ่งหวัง โดยคำนึงถึงการใช้ทรัพยากรทางการตลาดให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการตอบรับกับความเป็นไปและแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมในดำเนินธุรกิจทั้งภายนอกและภายในกิจการ

เนื้อหาของแผนการตลาดต้องตอบคำถามหลักๆ ให้กับผู้ประกอบการอย่างน้อยดังต่อไปนี้

1. เป้าหมายทางการตลาดที่ต้องทำให้ได้ในระยะเวลาของแผนคือเรื่องอะไรบ้าง

2. ใครคือลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ทั้งกลุ่มเป้าหมายหลักและกลุ่มเป้าหมายรอง

3. จะนำเสนอสินค้า/บริการอะไรให้กลุ่มเป้าหมาย ในราคาเท่าใด และด้วยวิธีการใด

4. จะสร้างและรักษาความพึงพอใจให้กับกลุ่มเป้าหมายเหล่านั้นได้ด้วยวิธีการใดบ้าง

5. ถ้าสถานการณ์ไม่เป็นไปตามที่คาดหวังไว้ จะปรับตัวหรือแก้ไขอย่างไร


ในการตอบคำถามดังกล่าวข้างต้น ผู้ประกอบการจำเป็นต้องใช้ความรู้ ความสามารถ ตลอดจนประสบการณ์และวิจารณญาณที่ดี ในการกำหนดเป้าหมาย กลยุทธ์ และวิธีการทางการตลาดสำหรับกิจการตามองค์ประกอบที่สำคัญของแผนการตลาด ซึ่งมีเนื้อหาหลัก 4 ส่วน ดังต่อไปนี้

1. เป้าหมายทางการตลาด

2. การวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย

3. กลยุทธ์และกิจกรรมทางการตลาด

- กลยุทธ์การตลาดเพื่อความได้เปรียบในการแข่งขัน

- กลยุทธ์เพื่อการเติบโตทางการตลาด

- กลยุทธ์ส่วนประสมทางการตลาด

4. การควบคุมและประเมินผลทางการตลาด

แผนการจัดการสมาชิก
ในส่วนนี้ผู้จัดทำแผนจะต้องระบุโครงสร้างขององค์การให้ชัดเจน โดยแสดงแผนผังโครงสร้างขององค์กรว่า ประกอบไปด้วยหน่วยงานอะไรบ้าง หน่วยงานแต่ละหน่วยมีความรับผิดชอบอะไร รวมถึงตำแหน่งผู้บริหารหลักๆ ขององค์การ โครงสร้างของคณะกรรมการและการถือหุ้น การเขียนในส่วนนี้ควรจะทำให้ผู้อ่านเห็นว่าคณะผู้บริหารรวมตัวกันในลักษณะเป็นทีมที่ดีในการบริหาร มีความสมดุลในด้านความรู้ ความสามารถที่ครบถ้วน ทั้งด้านเทคนิคและการบริหาร มีความชำนาญและประสบการณ์ในกิจการที่ทำ

รายละเอียดในส่วนนี้ประกอบด้วยหัวข้อดังต่อไปนี้ คือ

1. โครงสร้างองค์กร

1.1 ตำแหน่งงานหลักๆ ขององค์การ คนที่จะมาดำรงตำแหน่ง พร้อมทั้งแผนผังองค์การ

1.2 หากผู้บริหารคนใดคนหนึ่ง ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้เต็มเวลา ต้องระบุว่าใครจะเป็นผู้ช่วยในงานนั้น เพื่อทำให้งานสมบูรณ์

1.3 หากทีมงานผู้บริหารเคยทำงานร่วมกันมาก่อน ให้ระบุว่าเคยทำงานอะไร มีความสำเร็จในฐานะทีมที่ดีอะไรบ้าง

2. ตำแหน่งบริหารหลัก

2.1 ระบุว่าตำแหน่งบริหารหลักๆ มีความรู้ ความชำนาญอะไรบ้าง และมีความเหมาะสมในตำแหน่งงานนั้นอย่างไร

2.2 ระบุบทบาท ภาระความรับผิดชอบของแต่ละตำแหน่งในทีมบริหาร

2.3 อาจใส่ประวัติสั้นๆ ของทีมบริหารเอาไว้ในส่วนนี้ด้วยก็ได้ หรือมิฉะนั้นอาจนำไปใส่ไว้รวมกันในภาคผนวก

3. ผลประโยชน์ตอบแทนแก่ผู้บริหาร ระบุเงินเดือนที่จ่ายแก่ผู้บริหาร ตลอดจนผลประโยชน์ในรูปแบบอื่นๆ และสัดส่วนการถือหุ้น ของผู้บริหารแต่ละคน

4. ผู้ร่วมลงทุน ระบุผู้ร่วมลงทุนอื่นๆ และเปอร์เซ็นต์การถือหุ้น

5. คณะกรรมการบริษัท ระบุคุณสมบัติของกรรมการบริษัท องค์ประกอบและภูมิหลังของกรรมการแต่ละคนว่าจะเป็นประโยชน์ต่อกิจการอย่างไร



ทำงานต่อเนื่อง

จะทำให้ท่านประสบความสำเร็จ

สำเร็จในธุรกิจ

ประสบความสำเร็จในธุรกิจ
คุณสมบัติอะไร จะทำให้ท่านเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ


1. มีเป้าหมาย แน่นอนครับ ถ้าเราไม่ตั้งเป้าหมาย เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราประสบความสำเร็จแล้ว นั่นก็คือ ท่านต้องกำหนด (อย่างที่วัดได้) ว่าอย่างไหนที่เรียกว่าท่านประสบความสำเร็จแล้ว (แต่ละคนไม่เหมือนกัน) นั่นคือเป้าหมายระยะยาว และเราก็ต้องตั้งเป้าหมายระยะสั้นด้วย เพื่อที่จะได้กำหนดจุด หรือสถานะ ระหว่างกลาง เป็นขั้นๆ ซึ่งอีกนัยหนึ่ง จะทำให้เรามีกำลังใจ เมื่อสามารถผ่านแต่ละขั้นไปได้

2. คิดบวก นี่ก็เป็นข้อสำคัญอันดับต้นๆ เลยทีเดียว เพราะการทำงานทุกอย่างจะต้องมีอุปสรรค การมองโลกในแง่ดี การไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค เป็นหนทางแห่งการแก้ปัญหา และนั่นก็จะทำให้ท่านประสบความสำเร็จครับ

3. ใช้จุดแข็งของตนให้เป็นประโยชน์ ผมเชื่อว่าทุกท่านมีความสามารถอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ นั่นคืออาวุธลับที่จะได้เปรียบคนอื่นมาก ถ้าท่านนำมาใช้ให้ถูกที่ถูกทาง แน่หละ เราอาจจะต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพิ่มเติม ในสิ่งที่เราไม่รู้ แต่นั่นก็ไม่ใช่จุดอ่อนครับ มันเป็นเพียงแค่สิ่งที่เราไม่รู้ และไม่มีใครแก่เกินเรียน..ผมมั่นใจ

4. มุมานะ ความขยันหมั่นเพียร มุ่งจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำ จะทำให้ท่านมีสมาธิ มีสติ สัมปชัญญะ สามารถทำงานตรงหน้าให้ลุล่วงได้ ถ้าท่านจะทำธุรกิจ ไม่มีทางเลือกอื่นครับ เป็นไปไม่ได้..ไม่มีใครประสบความสำเร็จโดยไม่ทำงานหนัก ไม่มีความมุมานะ ผมไม่เคยเห็น

5. สร้างเครือข่าย เป็นไปไม่ได้ที่เราจะทำธุรกิจโดยไม่ต้องติดต่อกับใครเลย ยิ่งเรามีคนที่เรารู้จัก (และรู้จักเรา) เยอะแค่ไหน ก็ยิ่งมีส่วนช่วยให้ธุรกิจของเราประสบความสำเร็จมากเท่านั้น เครือข่ายที่ผมพูดถึงนี่ ไม่ใช่เพียงกลุ่มคนที่จะเป็นลูกค้าของเราในอนาคตเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงคนที่ทำธุรกิจประเภทเดียวกัน คนที่มากด้วยประสบการณ์ ผู้ซึ่งจะสามารถช่วยเหลือท่านได้ในเรื่องต่างๆ ด้วย อ้อ..ลืมบอกไปว่า มันไม่สำคัญว่าเรารู้จักคนเยอะแค่ไหน ที่สำคัญกว่าคือ..มีคนรู้จักเราเยอะแค่ไหนครับ

6. สนุกกับการเรียนรู้เรื่องใหม่ๆ เพราะเมื่อใดที่เราหยุดเรียนรู้ ก็เหมือนเราถอยหลังลงคลอง สภาพการแข่งขันในท้องตลาดเปลี่ยนไปตลอดเวลาครับ ทั้งนี้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค ผลการค้นคว้า/วิจัยใหม่ๆ หรือแม้กระทั่งความคิดใหม่ๆ เกี่ยวกับโมเดลทางธุรกิจ (Business Model) ถ้าเราไม่ปรับตัว/เรียนรู้ ก็เตรียมพับเสื่อเก็บหมอนกลับบ้านได้เลย ยิ่งเราทำธุรกิจในโลกออนไลน์ด้วยแล้ว ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ เพราะเทคโนโลยีเปลี่ยนเร็วมาก เปลี่ยนตามพฤติกรรมผู้บริโภคซะเป็นส่วนใหญ่ ทำให้เราต้องเรียนรู้อยู่เสมอ ท่านลองคิดดูง่ายๆ ครับ ท่านได้ยินคำว่า Facebook ครั้งแรกเมื่อไหร่

7. กล้าเผชิญความล้มเหลว ถ้าเรากลัวล้ม เราจะไม่กล้าเดิน ถ้าเรากลัวตก เราจะไม่ปีน ดังนั้น สิ่งที่เป็นอุปสรรคขวางกั้นชิ้นใหญ่สุดเลยก็คือ “ใจของเราเอง” ครับ เชื่อผมอย่างหนึ่งนะครับ..ไม่มีใครประสบความสำเร็จตั้งแต่การทำธุรกิจแรกหรอกครับ ถ้ามีก็น้อยมาก ยิ่งล้มเหลวมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งมีบทเรียนมากเท่านั้น มีประสบการณ์มากขึ้นเท่านั้น (ถ้าท่านรู้จักการเรียนรู้จากความล้มเหลวด้วยนะ) และนั่นจะทำให้ท่านประสบความสำเร็จกับธุรกิจต่อๆ มาในที่สุด

ข้อคิดไปประยุกต์ใช้ ประสบความสำเร็จดังใจหวัง


วันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559